แต่ทั้งสองฝ่าย ต่างก็ลอบคำนวนอยู่ในใจ
หลังจากรอให้พวกของมู่ชิงเกอจากไปแล้ว ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถียังคงอยู่ที่เรือนพักของกลืนจันทร์ ไม่ได้จากไป
รอยยิ้มบนใบห้าของทั้งสามคนต่างแข็งกระด้างแล้วสปตากันแทั้งสามคนต่างแข็งกระด้างแล้วสปตากัน ภายในใจล้วนปรากฏความไม่พอใจ
ไม่สบอารมณ์!
เฮ้อ จะไม่สบอารมณ์ได้อย่างไร?
คนเขามาร่วมประชุมเพียงกลุ่มเดียว ก็ทำเอายักใหญ่สามกลุ่มอึ้งกิมกี่ หากเล็ดรอดออกไป อับอายโดยแท้อับอายยันบรรพบุรุษ
เสวียนเยว่ยิ้มขมขื่น ส่งให้คนรับใช้เสิร์ฟชา แล้วนั่งลงพร้อมกันกับอีกคน
ส่วนอีกด้านหนึ่ง มู่ชิงเกอกับอีกไม่กี่คนเดินกลับมาที่พักของเขี้ยวมังกร ด้านหลังมีเงาดำกลุ่มหนึ่งติดตามมา พูดกับนางด้วยเสียงต่ำว่า “นายน้อย เป็นไปตามที่ท่านคาดการณ์ ผู้นำร้อยอัคคีและยักษ์วิถีล้วนแต่ไม่ได้จากไป”
มุมปากมู่ชิงเกอกระตุกยิ้ม พยักหน้าอย่างมิต้องสงสัย
เขี้ยวมังกรนายนั้นถามว่า "นายน้อย ต้องการให้ข้าน้อยตามเฝ้าสังเกตการณ์หรือไม่?”
“ไม่จำเป็นแล้ว พวกเขาสามคนสุมหัวกัน ที่สนทนากันก็หนีไม่พ้นที่มาของโห่ว แล้วพรุ่งนี้ก็ยังมีเรื่องการแบ่งศิลาวิญญาณ” มู่ชิงเกอตอบอย่งไม่สนใจ
นางบอกว่าไม่ต้อง เขี้ยวมังกรนายนั้นจึงถอยหลบไปในความมืดมิดอย่างรวดเร็ว
โห่วเดินเข้ามา หัวเราะให้มู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า "เด็กน้อย การแสดงของข้าไม่เลวใช่ไหม?”
มู่ชิงเกอหัวเราะพร้อมพยักหน้า “ข้าต้องมองเจ้าใหม่แล้ว”
โห่วยิ้ม ‘แหะ แหะ’ ทันใดนั้นเสียง*เส้อก็ดังขึ้นมา เขาลูบลำแขนขึ้น เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งบนท่อนแขน
"พรุ่งนี้เจ้าพาข้าไปด้วย หากว่าพวกเขายังกล้ารังแกเจ้า ลูกเพ่ก็จะช่วยเจ้าเล่นกับพวกเขาเอง”
*เส้อ คือเครื่องดนตรีโบราณของจีน
ในสมัยก่อนจะถูกใช้ในพิธีบวงสรวงหรืองานเลี้ยงของชนชั้นปกครอง เพื่อแสดงถึงศักดินาของตน
มู่ชิงเกอยิ้มบางพร้อมส่ายหัว "เจ้าก็ไม่ต้องไปแล้ว อยู่ภายในที่พักนี้แหละ พรุ่งนี้ข้ากัยมั่วหยางจะไปจัดการเอง ตกดึกให้ไป๋สี่ลอบไปลองสำรวจดูสายแร่ศิลาวิญญาณที่ตั้งอยู่ที่ภูเขายู่เยียน”
“ได้” ไป๋สี่พยักหน้ารับ
นางเก่งกาจเรื่องกิจกรรมในถ้ำ การที่ได้เข้าไปในถ้ำเพื่อสำรวจสถานการณ์ภายในเหมืองศิลาวิญญาณ เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด
“ให้ข้าอยู่ในที่พัก?” โห่วมีสีหน้าไม่พอใจ
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วพยักหน้า “การแสดงบารมีของเจ้าในวันนี้ก็เพียงพอแล้ว หากพรุ่งนี้เจ้าไปอีก ทั้งสามคนเกรงว่าเจ้าไปเพื่อกดดันพวกเขา”
“งั้นเจ้าก็ไปชิงสายแร่ทุกเหมืองมาให้หมด!” โห่วเสนอความคิด
ทางด้านมู่ชิงเกอหัวเราะ เหอะ เหอะ ส่ายศีรษะเอ่ยว่า “กระแสของโลกหลิวเค่อยังต้องการสมดุลของพลังพลังอำนาจในการไหลเวียน หากเพียงเพื่อศิลาวิญาณระดับกลาง เขี้ยวมังกรต้องก่อสงครามกับสามกองกำลัง การค้านี้มีแต่เสียกับเสีย สุดท้ายคนที่ได้รับผลประโยชน์จะไม่ใช่ข้า”
เขี้ยวมังกรและหลิวซิงเฉิง ต่างก็เป็นรากฐานของนางในโลกยุคกลาง ก็แค่สายแร่ศิลาวิญญาณระดับกลาง ยังไม่เพียงพอให้นางต้องก่อความไม่สงบที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้
จะต้องรู้ว่า ปัจจุบันเมืองลั่วซิงเฉิง อยู่ภายใต้การช่วยของตัวกินศิลาวิญญาณ มันได้หาสายแร่ศิลาวิญญาณเจอ 3 สาย หนึ่งในนั้นคือสายแร่ศิลาวิญญาณระดับต่ำ และอีกสองสายที่เหลือเป็นล้วนเป็นระดับกลาง แล้วยังมีตอนที่นางจากมา เจ้าตัวน้อยนั่นก็วิ่งมากู่ร้อง ไม่แน่ว่าอาจจะอาจจะพบสายแร่ศิลาวิญญาณที่ไหนสักแห่งอีกแล้วก็ได้
ดังนั้น สำหรับนางแล้วศิลาวิญญาณที่ภูเขายู่เหยียนจึงไม่ได้ดึงดูดนางเท่าใดนัก นางมา แค่เพียงต้องการที่จะแสดงท่าที เขี้ยวมังกรกับกองกำลังอื่นๆนั้นล้วนแต่ทัดเทียมกัน ไม่มีใครน้อยหน้าไปกว่าใคร
……
ภายในที่พักของกลืนจันทร์ ได้ป้อนยาแก้เมาลงท้อง สามผู้นำยังคงเป็นเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ล้วนไม่ยอมปริปาก
ท้ายสุด หัวหน้าของกลืนจันทร์กระแอมเล็กน้อย เริ่มเปิดปากเอ่ยนำขึ้น “แม้ว่าคำคืนนี้พัฒนาไปอย่างไม่เป็นไปดังที่ที่พวกเราคาดไว้ ทว่าก็มิใช่ไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง กำลังของเขี้ยวมังกร แล้วยังมีกำลังของท่านเจ้าเมืองมู่ท่านนั้น ช่างเหนือกว่าที่พวกเราจินตารไว้มาก ครั้งนี้ก็ได้นำผู้ติดตามที่แข็งแกร่งกว่าข้ามาผู้หนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าภายในเมืองลั้วซิงเฉิงนั้นยังซ่อนคนประเภทนี้ไว้อีกกี่คน ดูเหมือนว่า ในใจของพวกเราต่างก็ไม่ยินดีเท่าใดนัก นอกจากนี้ยังต้องแลกเปลี่ยนบางอย่างกันอีก"
ผู้นำร้อยอัคคีและยักษ์วิถีต่างปราดสายตามองซึ่งกันและกันแวบหนึ่ง ในใจเกิดความหดหู่อยู่บ้าง
“พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไร?” ผู้นำกลืนจันทร์เอ่ยถาม
ผู้นำยักษ์วิถีเอ่ยอย่างคับข้องใจว่า “หากว่าไม่ได้ ก็ให้ยึดตามกฏธรรมเนียมเดิม จัดงานประลองสักยกให้ทุกคนลองแข่งขันกัน ใครเป็นผู้ชนะก็ออกมากำหนดอัตาราส่วนแบ่ง”
พูดๆอยู่ เขาก็กล่าวเสริมอีก 1 ประโยค “ผู้มีสิทธิ์ลงแข่งต้องเป็นกลุ่มกองกำลังหลิวเค่อเท่านั้น คนอื่นๆจะไม่สามารถเข้าร่วมแข่งได้” เขาเอ่ยประโยคนี้เพื่อป้องกันไม่ให้โห่วร่วมลงแข่งได้ มิใช่พวกเขาเองหรือที่จะแพ้อย่างย่อยยับ?
คำพูดของเขา ได้รับความเห็นกันกับผู้นำร้อยอัคคีผงกหัวเห็นด้วยหงึกๆ
แต่ว่า ขณะที่พวกเขามองไปยังผู้นำกลืนจันทร์ เอาแต่เงียบไม่พูดจา ดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่?” ผู้นำยักษ์วิถีเอ่ยถาม
ผู้นำกลืนจันทร์จึงได้เงยหน้าขึ้นมองไปทางพวกเขาสองคน "ไม้รู้ว่าพวกเจ้าเคยได้สังเกตเห็นข่าวลือบางอย่างหรอไม่ บอกว่า เขี้ยวมังกรนับแต่รับภารกิจมาไม่เคยพลาดมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องมีคนตาย แม้แต่คนบาดเจ็บยังไม่มี"
ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีสบตากันแล้วพยักหน้า
แต่ว่า พวกเขาไม่เข้าใจ นี่ต้องการจะสื่อถึงอันใด?
ผู้นำกลืนจันขมวดคิ้ว กล่าวต่อว่า "วันนี้ข้าส่งคนไปสืบอย่างลับๆ เขี้ยวมังกรที่มาครั้งนี้ ทุกๆคนล้วนอยู่ระดับสีเงิน แล้วยังเครื่องแต่งกายของพวกเขาอีก…
พวกเจ้าอย่าลืมเสียละ เจ้านายของพวกเขาคืออาจารย์หลอมศาตราระดับมหาเทพ ทั้งเกราะของเขี้ยวมังกรแล้วยังมีอาวุธต่างก็อยู่ในระดับเทวะ หากต้องการที่ลงสนามประลองจริงๆ แน่นอนว่าคนของเราย่อมไม่สามารถทำให้กับเขี้ยวมังกรบาดเจ็บได้ ท้ายสุดแล้วผู้ชนะจะเป็นใครเล่า?”
การวิเคราะห์ของเขาทำให้ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีเงียบลงทันที
พวกเขาคิดแค่อยากจะกันโห่วออกไป ลืมนึกถึงระดับความสามารถของเขี้ยวมังกรที่ไม่อาจดูดาย มิเช่นนั้นภายในเวลาเพียงครึ่งปีจะสามารถขึ้นมายังแถวหน้าของกลุ่มหลิวเค่อระดับนภาได้แล้ว อีกทั้งอัตราความล้มเหลวยังเป็นศูนย์?
"หากท้ายสุดผู้ชนะคือเขี้ยวมังกร อัตราส่วนแบ่งที่พวกเราต้องสูญไปมิใช่มากโขรึ ?” ผู้นำกลืนจันทร์กล่าวเสริมอีกประโยค
ประโยคนี้ประโยคนี้ทำเอาผู้นำอีกสองคนเงียบลง
ผ่านไปนาน ยักษ์วิถีจึงเอ่ยขึ้นว่า "อิงตามที่เจ้าพูดมา พวกเราจะทำเช่นไรดี?”
ผู้นำร้อยอัคคีเอ่ยว่า "หากว่าในใจเจ้ามีแผนการที่สามารถงัดข้อขึ้นได้ ก็กล่าวออกมาเถิด ให้พวกเรา
ผู้นำกลืนจันทร์มองดูทั้งสอง กลอกลูกตาไปรอบหนึ่ง นิ้วมือพลางเคาะเป็นจังหวะบนโต๊ะ "กับอันตายอันนี้ที่ต้องรับไป แม้พวกเราจะสะใจไม่ได้เท่าที่ควร ขอเสนอแบ่งเหมืองแร่ออกเป็นสี่กองด้วยตนเอง ทุกคนได้รับผลประโยชน์เท่าๆกัน ทำแบบนี้ไปพวกเราทั้งสามแม้จะสูญเสียแต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตนัก แล้วยังนับว่าได้สร้างความประทับใจให้เขี้ยวมังกรฝั่งนั้น มิใช่พวกเราทุกคนต่างก็ล้วนหวังว่าจะขออาวุธคนละชิ้นต่อหน้าท่านเจ้าเมืองมู่ท่านนั้นหรือ? การแลกเปลี่ยนมิตรภาพนี้ ค่อยๆสะสมไปเรื่อยๆ พอถึงเวลาให้ออกหน้า ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น้ำมาให้รีบตักแล้ว”
คำพูดของเขา ผู้นำทั้งสองต่างกำลังวิเคราะห์ตาม
แน่นอน หากไม่สามารถมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม พวกเขาสามารถปรามเขี้ยวมงกร หากฉุดให้เขี้ยวมังกรได้ตกต่ำลงแล้ว การแบ่งผลประโยชน์ที่เป็นธรรมเช่นนี้นั้นเหมาะสมที่สุด และสูญเสียน้อยที่สุด
“สายตาของพวกเราต้องมองการไกล ไม่อาจจดจ้องมองเห็นเพียงเหมืองแร่ศิลาวิญญาณระดับกลางตรงหน้า เพียงเพื่อเหมืองแร่ศิลาวิญญาณระดับกลางไม่คุ้มค่าที่จะแตกหักกับเขี้ยวมังกร" ผู้นำกลืนจันทร์กล่าวชักชวนต่ออีก
ทั้งสองคนยังคงนิ่งเงียบ
ผู้นำกลืนจันทร์กล่าวว่า“หากวาลงแข่งในสนามประลองสักยก ชนะแล้วก็ดี ทว่าแพ้แล้วเกรงว่าจะยิ่งสูญเสียมากมายยิ่งนัก"
ในที่สุดศีรษะของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีก็ผงกรับ
ผู้นำร้อยอัคคีมองไปทางผู้นำกลืนจันทร์ "ลองคิดให้ละเอียด วิธีที่เจ้าเสนอแม้นไม่น่าพึงใจนัก ทว่าก็เป็นสิ่งที่ปลอดภัยที่สุด ไม่ผิด สายตาของพวกเราต้องมองไกลๆเข้าไว้ โลกของหลิวเค่อถึงจะไม่วุ่นวาย"
ผู้นำยักษ์วิถีก็ผงกหัวเช่นกัน “ภายในรังของพวกเราเองกลับตีกัน แต่ที่ตกต่ำก็คือฝั่งครอบครัวเหล่านั้น เฮ้อ สูญเสียก็สูญเสียไปบ้างเถอะ ในทางกลับกันกองกำลังทั้งสามกองของพวกเราล้วนเหมือนกัน ในใจข้าก็สบายขึ้นมาบ้างแล้ว”
เห็นพวกเขาคู่ต่างผงกศีรษเห็นด้วย ผู้นำกลืนจันทร์ดวงตาทอแสงเปิดอกคุยกันอย่างสัตย์ตรง หัวเราะตอบว่า “ถึงแม้พวกเราเห็นพ้องต้องกันได้สำเร็จ เช่นนั้นการเจรจาพรุ่งนี้เล่า พวกเราต้องออกปากเองว่าให้แบ่งเหมืองศิลาวิญญาณออกเป็นสี่ส่วน ทุกคนก็จะดีอกดีใจกันถ้วนหน้า”
“ตกลง!”
“ตกลง”
ผู้นำร้อยอัคคีและยักษ์วิถีเอ่ยประสานเสียงตอบพร้อมกัน
……
วันถัดมา มู่ชิงเกอเข้าเมืองเทียนผิงเฉิงของกองกำลังหลิวเค่อออย่างสดชื่นผ่อนคลายพร้อมกันกับมั่วหยาง
เมื่อถึงที่นั่น ผู้บัญชาการของกลืนจันทร์ ร้อยอัคคี ยังมียักษวิถีต่างก็อยู่ที่นั่นแล้ว ตอนที่มู่ชิงเกอเดินเข้ามา พวกเขาแอบมองไปยังด้านนอก ไม่พบแม้นเงาของโก่ง ในใจต่างก็พ่นล่มหายใจผ่อนคลายลง
ดังนั้นก็ ทั้งสามลุกขึ้นยืนพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย เอ่ยกับหมู่ชิงเกอและมั่วหยางอย่างร่าเริงว่า “เจ้าเมืองมู่หัวหน้ามั่วมาแล้ว รีบนั่งลงเถิด”
จากปฏิกิริยาของทั้งสามคนนี้ มู่ชิงเกอขมวดคิ้วรอบหนึ่ง รอยยิ้มที่มุมปากของนางเต็มไปด้วยความนึกสนุก
เดินไปถึงยังตำแหน่งที่สงวนเตรียมไว้ให้แก่นาง มู่ชิงเกอสะบัดชายเสื้อนั่งลง จากนั้นมั่วหยางไม่ได้ไปร่วมนั่งลงด้วย แต่กลับยืนอยู่ราวกับเป็นองครักษ์ก็มิปาน ยืนตรงอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอ
เขา แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นองครักษ์ของหมู่ชิงเกอ!
มู่ชิงเกอมองเขาแวบหนึ่ง เขาทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่รับผิดชอบไป
ผู้นำกลืนจันทร์ ร้อยอัคคี และยักษ์วิถีทั้งสามคนต่างก็ลอบสบตากันในความมืดแวบหนึ่ง แล้วจึงค่อยๆนั่งลงในที่นั่งของตน
หลังจากนั่งลงเรียบร้อย ผู้นำร้อยอัคคีและยักษ์วิธีมองไปยังผู้นำกลืนจันทร์
รับรู้ถึงสายตาที่มองมาของทั้งสอง เขากระแอมเบาๆเล็กน้อย เอ่ยกับมู่ชิงเกอและมั่วหยางว่า “ท่านเจ้าเมืองมู่ หัวหน้ามั่ว จุดประสงค์ที่พวกเรามาชุมนุมกันยังเมืองเทียนผิงเฉิงเพื่อ ”
受到这二人的眸光,他轻咳了一下,对慕轻歌和墨阳道:“慕城主,墨统领,这次咱们齐聚天平城的目的,想必大家都是清楚的。关于玉鄢山的中级灵石矿,以往都是我们三家分,如今多了龙牙,以我们的意思,不如就一分为四,大家也免得为一个灵石矿伤了和气。”
一分为四?_思_兔_網_
慕轻歌眸光玩味起来,她没有立即答应,而是问道:“不知以往,这灵石矿是如何分配的?”
实际上,之前灵石矿如何分配,她早就调查得一清二楚。但此刻,却故意问出。
三人对视一眼,依然是玄月统领开口:“之前么……咱们是流客,也没那么多规矩,所以都是设下擂台,大家派出人马,比试一场,按照名次分配。”
“哦?那这第一名又能分多少,第二名,第三名又能分多少?”慕轻歌又问。
她露出虚心求教的样子,令另外三人摸不着头脑。
玄月统领总感觉有些不对,但还是如实的道:“第一名分五成,第二名三成,第三名分两成。”接着,他又立马补了一句,“若是一分为四,那大家都是差不多两成半的样子。”
“这对大家似乎不太公平啊!不如,还是按照老规矩,大家擂台上分高低吧。”慕轻歌笑道。
她的话,令三人一愣,顿时傻眼。
หลังจากรอให้พวกของมู่ชิงเกอจากไปแล้ว ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถียังคงอยู่ที่เรือนพักของกลืนจันทร์ ไม่ได้จากไป
รอยยิ้มบนใบห้าของทั้งสามคนต่างแข็งกระด้างแล้วสปตากันแทั้งสามคนต่างแข็งกระด้างแล้วสปตากัน ภายในใจล้วนปรากฏความไม่พอใจ
ไม่สบอารมณ์!
เฮ้อ จะไม่สบอารมณ์ได้อย่างไร?
คนเขามาร่วมประชุมเพียงกลุ่มเดียว ก็ทำเอายักใหญ่สามกลุ่มอึ้งกิมกี่ หากเล็ดรอดออกไป อับอายโดยแท้อับอายยันบรรพบุรุษ
เสวียนเยว่ยิ้มขมขื่น ส่งให้คนรับใช้เสิร์ฟชา แล้วนั่งลงพร้อมกันกับอีกคน
ส่วนอีกด้านหนึ่ง มู่ชิงเกอกับอีกไม่กี่คนเดินกลับมาที่พักของเขี้ยวมังกร ด้านหลังมีเงาดำกลุ่มหนึ่งติดตามมา พูดกับนางด้วยเสียงต่ำว่า “นายน้อย เป็นไปตามที่ท่านคาดการณ์ ผู้นำร้อยอัคคีและยักษ์วิถีล้วนแต่ไม่ได้จากไป”
มุมปากมู่ชิงเกอกระตุกยิ้ม พยักหน้าอย่างมิต้องสงสัย
เขี้ยวมังกรนายนั้นถามว่า "นายน้อย ต้องการให้ข้าน้อยตามเฝ้าสังเกตการณ์หรือไม่?”
“ไม่จำเป็นแล้ว พวกเขาสามคนสุมหัวกัน ที่สนทนากันก็หนีไม่พ้นที่มาของโห่ว แล้วพรุ่งนี้ก็ยังมีเรื่องการแบ่งศิลาวิญญาณ” มู่ชิงเกอตอบอย่งไม่สนใจ
นางบอกว่าไม่ต้อง เขี้ยวมังกรนายนั้นจึงถอยหลบไปในความมืดมิดอย่างรวดเร็ว
โห่วเดินเข้ามา หัวเราะให้มู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า "เด็กน้อย การแสดงของข้าไม่เลวใช่ไหม?”
มู่ชิงเกอหัวเราะพร้อมพยักหน้า “ข้าต้องมองเจ้าใหม่แล้ว”
โห่วยิ้ม ‘แหะ แหะ’ ทันใดนั้นเสียง*เส้อก็ดังขึ้นมา เขาลูบลำแขนขึ้น เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งบนท่อนแขน
"พรุ่งนี้เจ้าพาข้าไปด้วย หากว่าพวกเขายังกล้ารังแกเจ้า ลูกเพ่ก็จะช่วยเจ้าเล่นกับพวกเขาเอง”
*เส้อ คือเครื่องดนตรีโบราณของจีน
ในสมัยก่อนจะถูกใช้ในพิธีบวงสรวงหรืองานเลี้ยงของชนชั้นปกครอง เพื่อแสดงถึงศักดินาของตน
มู่ชิงเกอยิ้มบางพร้อมส่ายหัว "เจ้าก็ไม่ต้องไปแล้ว อยู่ภายในที่พักนี้แหละ พรุ่งนี้ข้ากัยมั่วหยางจะไปจัดการเอง ตกดึกให้ไป๋สี่ลอบไปลองสำรวจดูสายแร่ศิลาวิญญาณที่ตั้งอยู่ที่ภูเขายู่เยียน”
“ได้” ไป๋สี่พยักหน้ารับ
นางเก่งกาจเรื่องกิจกรรมในถ้ำ การที่ได้เข้าไปในถ้ำเพื่อสำรวจสถานการณ์ภายในเหมืองศิลาวิญญาณ เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด
“ให้ข้าอยู่ในที่พัก?” โห่วมีสีหน้าไม่พอใจ
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วพยักหน้า “การแสดงบารมีของเจ้าในวันนี้ก็เพียงพอแล้ว หากพรุ่งนี้เจ้าไปอีก ทั้งสามคนเกรงว่าเจ้าไปเพื่อกดดันพวกเขา”
“งั้นเจ้าก็ไปชิงสายแร่ทุกเหมืองมาให้หมด!” โห่วเสนอความคิด
ทางด้านมู่ชิงเกอหัวเราะ เหอะ เหอะ ส่ายศีรษะเอ่ยว่า “กระแสของโลกหลิวเค่อยังต้องการสมดุลของพลังพลังอำนาจในการไหลเวียน หากเพียงเพื่อศิลาวิญาณระดับกลาง เขี้ยวมังกรต้องก่อสงครามกับสามกองกำลัง การค้านี้มีแต่เสียกับเสีย สุดท้ายคนที่ได้รับผลประโยชน์จะไม่ใช่ข้า”
เขี้ยวมังกรและหลิวซิงเฉิง ต่างก็เป็นรากฐานของนางในโลกยุคกลาง ก็แค่สายแร่ศิลาวิญญาณระดับกลาง ยังไม่เพียงพอให้นางต้องก่อความไม่สงบที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้
จะต้องรู้ว่า ปัจจุบันเมืองลั่วซิงเฉิง อยู่ภายใต้การช่วยของตัวกินศิลาวิญญาณ มันได้หาสายแร่ศิลาวิญญาณเจอ 3 สาย หนึ่งในนั้นคือสายแร่ศิลาวิญญาณระดับต่ำ และอีกสองสายที่เหลือเป็นล้วนเป็นระดับกลาง แล้วยังมีตอนที่นางจากมา เจ้าตัวน้อยนั่นก็วิ่งมากู่ร้อง ไม่แน่ว่าอาจจะอาจจะพบสายแร่ศิลาวิญญาณที่ไหนสักแห่งอีกแล้วก็ได้
ดังนั้น สำหรับนางแล้วศิลาวิญญาณที่ภูเขายู่เหยียนจึงไม่ได้ดึงดูดนางเท่าใดนัก นางมา แค่เพียงต้องการที่จะแสดงท่าที เขี้ยวมังกรกับกองกำลังอื่นๆนั้นล้วนแต่ทัดเทียมกัน ไม่มีใครน้อยหน้าไปกว่าใคร
……
ภายในที่พักของกลืนจันทร์ ได้ป้อนยาแก้เมาลงท้อง สามผู้นำยังคงเป็นเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ล้วนไม่ยอมปริปาก
ท้ายสุด หัวหน้าของกลืนจันทร์กระแอมเล็กน้อย เริ่มเปิดปากเอ่ยนำขึ้น “แม้ว่าคำคืนนี้พัฒนาไปอย่างไม่เป็นไปดังที่ที่พวกเราคาดไว้ ทว่าก็มิใช่ไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง กำลังของเขี้ยวมังกร แล้วยังมีกำลังของท่านเจ้าเมืองมู่ท่านนั้น ช่างเหนือกว่าที่พวกเราจินตารไว้มาก ครั้งนี้ก็ได้นำผู้ติดตามที่แข็งแกร่งกว่าข้ามาผู้หนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าภายในเมืองลั้วซิงเฉิงนั้นยังซ่อนคนประเภทนี้ไว้อีกกี่คน ดูเหมือนว่า ในใจของพวกเราต่างก็ไม่ยินดีเท่าใดนัก นอกจากนี้ยังต้องแลกเปลี่ยนบางอย่างกันอีก"
ผู้นำร้อยอัคคีและยักษ์วิถีต่างปราดสายตามองซึ่งกันและกันแวบหนึ่ง ในใจเกิดความหดหู่อยู่บ้าง
“พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไร?” ผู้นำกลืนจันทร์เอ่ยถาม
ผู้นำยักษ์วิถีเอ่ยอย่างคับข้องใจว่า “หากว่าไม่ได้ ก็ให้ยึดตามกฏธรรมเนียมเดิม จัดงานประลองสักยกให้ทุกคนลองแข่งขันกัน ใครเป็นผู้ชนะก็ออกมากำหนดอัตาราส่วนแบ่ง”
พูดๆอยู่ เขาก็กล่าวเสริมอีก 1 ประโยค “ผู้มีสิทธิ์ลงแข่งต้องเป็นกลุ่มกองกำลังหลิวเค่อเท่านั้น คนอื่นๆจะไม่สามารถเข้าร่วมแข่งได้” เขาเอ่ยประโยคนี้เพื่อป้องกันไม่ให้โห่วร่วมลงแข่งได้ มิใช่พวกเขาเองหรือที่จะแพ้อย่างย่อยยับ?
คำพูดของเขา ได้รับความเห็นกันกับผู้นำร้อยอัคคีผงกหัวเห็นด้วยหงึกๆ
แต่ว่า ขณะที่พวกเขามองไปยังผู้นำกลืนจันทร์ เอาแต่เงียบไม่พูดจา ดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่?” ผู้นำยักษ์วิถีเอ่ยถาม
ผู้นำกลืนจันทร์จึงได้เงยหน้าขึ้นมองไปทางพวกเขาสองคน "ไม้รู้ว่าพวกเจ้าเคยได้สังเกตเห็นข่าวลือบางอย่างหรอไม่ บอกว่า เขี้ยวมังกรนับแต่รับภารกิจมาไม่เคยพลาดมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องมีคนตาย แม้แต่คนบาดเจ็บยังไม่มี"
ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีสบตากันแล้วพยักหน้า
แต่ว่า พวกเขาไม่เข้าใจ นี่ต้องการจะสื่อถึงอันใด?
ผู้นำกลืนจันขมวดคิ้ว กล่าวต่อว่า "วันนี้ข้าส่งคนไปสืบอย่างลับๆ เขี้ยวมังกรที่มาครั้งนี้ ทุกๆคนล้วนอยู่ระดับสีเงิน แล้วยังเครื่องแต่งกายของพวกเขาอีก…
พวกเจ้าอย่าลืมเสียละ เจ้านายของพวกเขาคืออาจารย์หลอมศาตราระดับมหาเทพ ทั้งเกราะของเขี้ยวมังกรแล้วยังมีอาวุธต่างก็อยู่ในระดับเทวะ หากต้องการที่ลงสนามประลองจริงๆ แน่นอนว่าคนของเราย่อมไม่สามารถทำให้กับเขี้ยวมังกรบาดเจ็บได้ ท้ายสุดแล้วผู้ชนะจะเป็นใครเล่า?”
การวิเคราะห์ของเขาทำให้ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีเงียบลงทันที
พวกเขาคิดแค่อยากจะกันโห่วออกไป ลืมนึกถึงระดับความสามารถของเขี้ยวมังกรที่ไม่อาจดูดาย มิเช่นนั้นภายในเวลาเพียงครึ่งปีจะสามารถขึ้นมายังแถวหน้าของกลุ่มหลิวเค่อระดับนภาได้แล้ว อีกทั้งอัตราความล้มเหลวยังเป็นศูนย์?
"หากท้ายสุดผู้ชนะคือเขี้ยวมังกร อัตราส่วนแบ่งที่พวกเราต้องสูญไปมิใช่มากโขรึ ?” ผู้นำกลืนจันทร์กล่าวเสริมอีกประโยค
ประโยคนี้ประโยคนี้ทำเอาผู้นำอีกสองคนเงียบลง
ผ่านไปนาน ยักษ์วิถีจึงเอ่ยขึ้นว่า "อิงตามที่เจ้าพูดมา พวกเราจะทำเช่นไรดี?”
ผู้นำร้อยอัคคีเอ่ยว่า "หากว่าในใจเจ้ามีแผนการที่สามารถงัดข้อขึ้นได้ ก็กล่าวออกมาเถิด ให้พวกเรา
ผู้นำกลืนจันทร์มองดูทั้งสอง กลอกลูกตาไปรอบหนึ่ง นิ้วมือพลางเคาะเป็นจังหวะบนโต๊ะ "กับอันตายอันนี้ที่ต้องรับไป แม้พวกเราจะสะใจไม่ได้เท่าที่ควร ขอเสนอแบ่งเหมืองแร่ออกเป็นสี่กองด้วยตนเอง ทุกคนได้รับผลประโยชน์เท่าๆกัน ทำแบบนี้ไปพวกเราทั้งสามแม้จะสูญเสียแต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตนัก แล้วยังนับว่าได้สร้างความประทับใจให้เขี้ยวมังกรฝั่งนั้น มิใช่พวกเราทุกคนต่างก็ล้วนหวังว่าจะขออาวุธคนละชิ้นต่อหน้าท่านเจ้าเมืองมู่ท่านนั้นหรือ? การแลกเปลี่ยนมิตรภาพนี้ ค่อยๆสะสมไปเรื่อยๆ พอถึงเวลาให้ออกหน้า ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น้ำมาให้รีบตักแล้ว”
คำพูดของเขา ผู้นำทั้งสองต่างกำลังวิเคราะห์ตาม
แน่นอน หากไม่สามารถมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม พวกเขาสามารถปรามเขี้ยวมงกร หากฉุดให้เขี้ยวมังกรได้ตกต่ำลงแล้ว การแบ่งผลประโยชน์ที่เป็นธรรมเช่นนี้นั้นเหมาะสมที่สุด และสูญเสียน้อยที่สุด
“สายตาของพวกเราต้องมองการไกล ไม่อาจจดจ้องมองเห็นเพียงเหมืองแร่ศิลาวิญญาณระดับกลางตรงหน้า เพียงเพื่อเหมืองแร่ศิลาวิญญาณระดับกลางไม่คุ้มค่าที่จะแตกหักกับเขี้ยวมังกร" ผู้นำกลืนจันทร์กล่าวชักชวนต่ออีก
ทั้งสองคนยังคงนิ่งเงียบ
ผู้นำกลืนจันทร์กล่าวว่า“หากวาลงแข่งในสนามประลองสักยก ชนะแล้วก็ดี ทว่าแพ้แล้วเกรงว่าจะยิ่งสูญเสียมากมายยิ่งนัก"
ในที่สุดศีรษะของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีก็ผงกรับ
ผู้นำร้อยอัคคีมองไปทางผู้นำกลืนจันทร์ "ลองคิดให้ละเอียด วิธีที่เจ้าเสนอแม้นไม่น่าพึงใจนัก ทว่าก็เป็นสิ่งที่ปลอดภัยที่สุด ไม่ผิด สายตาของพวกเราต้องมองไกลๆเข้าไว้ โลกของหลิวเค่อถึงจะไม่วุ่นวาย"
ผู้นำยักษ์วิถีก็ผงกหัวเช่นกัน “ภายในรังของพวกเราเองกลับตีกัน แต่ที่ตกต่ำก็คือฝั่งครอบครัวเหล่านั้น เฮ้อ สูญเสียก็สูญเสียไปบ้างเถอะ ในทางกลับกันกองกำลังทั้งสามกองของพวกเราล้วนเหมือนกัน ในใจข้าก็สบายขึ้นมาบ้างแล้ว”
เห็นพวกเขาคู่ต่างผงกศีรษเห็นด้วย ผู้นำกลืนจันทร์ดวงตาทอแสงเปิดอกคุยกันอย่างสัตย์ตรง หัวเราะตอบว่า “ถึงแม้พวกเราเห็นพ้องต้องกันได้สำเร็จ เช่นนั้นการเจรจาพรุ่งนี้เล่า พวกเราต้องออกปากเองว่าให้แบ่งเหมืองศิลาวิญญาณออกเป็นสี่ส่วน ทุกคนก็จะดีอกดีใจกันถ้วนหน้า”
“ตกลง!”
“ตกลง”
ผู้นำร้อยอัคคีและยักษ์วิถีเอ่ยประสานเสียงตอบพร้อมกัน
……
วันถัดมา มู่ชิงเกอเข้าเมืองเทียนผิงเฉิงของกองกำลังหลิวเค่อออย่างสดชื่นผ่อนคลายพร้อมกันกับมั่วหยาง
เมื่อถึงที่นั่น ผู้บัญชาการของกลืนจันทร์ ร้อยอัคคี ยังมียักษวิถีต่างก็อยู่ที่นั่นแล้ว ตอนที่มู่ชิงเกอเดินเข้ามา พวกเขาแอบมองไปยังด้านนอก ไม่พบแม้นเงาของโก่ง ในใจต่างก็พ่นล่มหายใจผ่อนคลายลง
ดังนั้นก็ ทั้งสามลุกขึ้นยืนพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย เอ่ยกับหมู่ชิงเกอและมั่วหยางอย่างร่าเริงว่า “เจ้าเมืองมู่หัวหน้ามั่วมาแล้ว รีบนั่งลงเถิด”
จากปฏิกิริยาของทั้งสามคนนี้ มู่ชิงเกอขมวดคิ้วรอบหนึ่ง รอยยิ้มที่มุมปากของนางเต็มไปด้วยความนึกสนุก
เดินไปถึงยังตำแหน่งที่สงวนเตรียมไว้ให้แก่นาง มู่ชิงเกอสะบัดชายเสื้อนั่งลง จากนั้นมั่วหยางไม่ได้ไปร่วมนั่งลงด้วย แต่กลับยืนอยู่ราวกับเป็นองครักษ์ก็มิปาน ยืนตรงอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอ
เขา แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นองครักษ์ของหมู่ชิงเกอ!
มู่ชิงเกอมองเขาแวบหนึ่ง เขาทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่รับผิดชอบไป
ผู้นำกลืนจันทร์ ร้อยอัคคี และยักษ์วิถีทั้งสามคนต่างก็ลอบสบตากันในความมืดแวบหนึ่ง แล้วจึงค่อยๆนั่งลงในที่นั่งของตน
หลังจากนั่งลงเรียบร้อย ผู้นำร้อยอัคคีและยักษ์วิธีมองไปยังผู้นำกลืนจันทร์
รับรู้ถึงสายตาที่มองมาของทั้งสอง เขากระแอมเบาๆเล็กน้อย เอ่ยกับมู่ชิงเกอและมั่วหยางว่า “ท่านเจ้าเมืองมู่ หัวหน้ามั่ว จุดประสงค์ที่พวกเรามาชุมนุมกันยังเมืองเทียนผิงเฉิงเพื่อ ”
受到这二人的眸光,他轻咳了一下,对慕轻歌和墨阳道:“慕城主,墨统领,这次咱们齐聚天平城的目的,想必大家都是清楚的。关于玉鄢山的中级灵石矿,以往都是我们三家分,如今多了龙牙,以我们的意思,不如就一分为四,大家也免得为一个灵石矿伤了和气。”
一分为四?_思_兔_網_
慕轻歌眸光玩味起来,她没有立即答应,而是问道:“不知以往,这灵石矿是如何分配的?”
实际上,之前灵石矿如何分配,她早就调查得一清二楚。但此刻,却故意问出。
三人对视一眼,依然是玄月统领开口:“之前么……咱们是流客,也没那么多规矩,所以都是设下擂台,大家派出人马,比试一场,按照名次分配。”
“哦?那这第一名又能分多少,第二名,第三名又能分多少?”慕轻歌又问。
她露出虚心求教的样子,令另外三人摸不着头脑。
玄月统领总感觉有些不对,但还是如实的道:“第一名分五成,第二名三成,第三名分两成。”接着,他又立马补了一句,“若是一分为四,那大家都是差不多两成半的样子。”
“这对大家似乎不太公平啊!不如,还是按照老规矩,大家擂台上分高低吧。”慕轻歌笑道。
她的话,令三人一愣,顿时傻眼。